วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ยาดักจับไขมัน อันตรายหรือไม่




ยาดักจับไขมัน อันตรายหรือไม่ 

สำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคอ้วนซึ่งส่งผลเสียหลายด้านทั้งรูปร่างและสุขภาพ นำมาซึ่งโรคร้ายอื่นๆ มากมาย ทำให้การลดน้ำหนักเป็นทางออกที่ดี แต่วิธีนี้ยังมีผู้ที่ประสบปัญหาอยู่มาก โดยเฉพาะในเรื่องของการออกกำลังกาย ทำให้หลายคนต้องหันไปพึ่งตัวช่วยเช่นยาลดน้ำหนักรูปแบบต่างๆ ซึ่งหลายครั้งก็ส่งผลข้างเคียงที่อันตราย อย่างเช่น “ยาดักจับไขมัน” ก็เป็นยาชนิดหนึ่งหลายคนให้ความสนใจอย่างมากและยังคงมีคำถามคาใจกันอยู่ว่าอันตรายหรือไม่อย่างไร

ยาดักจับไขมัน เป็นยาลดความอ้วนชนิดหนึ่งที่จะช่วยขับไขมันทันทีที่ทาน ซึ่งต้องทานร่วมกับมื้ออาหาร แล้วยาจะเข้าไปดักจับไขมันแล้วถ่ายออกมาทันที ผู้ที่เคยทานจะรู้สึกพอใจมากในระยะแรกที่ทาน หลังจากพบว่าเมื่อถ่ายออกมาแล้วจะมองเห็นว่ามีมันๆ ออกมาด้วย แสดงให้เห็นว่าไขมันถูกถ่ายออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลิ่นหรือการขับถ่ายที่ผิดปกติไป

หลักการทำงานของยาดักจับไขมันที่อธิบายได้ ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าโดยปกติแล้วร่างกายคนเราจะสามารถดูดซึมไขมันได้เมื่อไขมันถูกย่อยให้อยู่ในขนาดที่เล็กลง เปรียบเสมือนการใช้กรรไกรตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ แต่เมื่อร่างกายทานยาดักจับไขมันเข้าไป ยาตัวนี้จะมีหน้าที่ไปจับกรรไกรให้ไม่สามารถทำงานได้ แล้วไขมันชิ้นใหญ่จะไม่ถูกย่อยให้เป็นชิ้นเล็กเหมือนปกติ ร่างง แต่เมื่อมีไขมันค้างอยู่ร่างกายจะไม่สามารถดูดน้ำได้ อุจจาระจึงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเหลว และมีความมันอยู่

โดยปกติหูรูดของร่างกายจะไม่ได้เหมือนกับประกายจึงไม่สามารถดูดซึมไปใช้งานได้ และค้างอยู่ในลำไส้จากนั้นจะถูกขับถ่ายออกมา แต่ปัญหาคือปกติแล้วอาหารที่อยู่ในลำไส้ร่างกายจะทำการดูดน้ำออกเพื่อทำให้แห้ตูที่เปิดปิดสนิทอยู่แล้ว หากอุจจาระมีสภาพเป็นของแข็งจะไม่สามารถออกมาได้ แต่เมื่อทานยาดักจับไขมัน อุจจาระจะมีสภาพที่ค่อนข้างเหลวอย่างที่อธิบายไป พอมีแรงดันเกิดขึ้นนิดหน่อย เช่น ไอหรือจาม อุจจาระจะเล็ดออกมาได้ง่าย กลายเป็นปัญหาแรกของผู้บริโภคยาดักจับไขมัน ปัญหาต่อมาคือเรื่องของกลิ่น โดยผู้ทานยาดักจับไขมัน อุจจาระกลิ่นแรงกว่าปกติ เพราะเมื่อมีไขมันและน้ำตาลค้างอยู่ในลำไส้ แบคทีเรียจะทำงานหนัก ทำให้มีปัญหาในเรื่องของกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ บางคนต้องกดชักโครกถึงสามครั้ง และบางคนยังต้องโรยแชมพูหรือสบู่เหลวร่วมด้วย

มาดูในเรื่องของผลลัพธ์ยาดักจับไขมันพบว่าประสิทธิภาพไม่มากเท่ากับที่หลายๆ คนคิด เพราะว่าจะสามารถขับไขมันออกมาได้แค่ 1 ใน 3 เท่านั้น เนื่องจากจะไปจับกับกรรไกรได้แค่บางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด อีกทั้งยังบล็อกเฉพาะไขมัน อย่างเวลาดื่มน้ำหวานหรือทานข้าวเข้าไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ยกตัวอย่างการทานอาหารที่มีพลังงาน 2,000 แคลอรี่ มีไขมันอยู่ 30% เท่ากับ 700 แคลอรี่ ซึ่งการกินยาดักจับไขมันจะบล็อกไขมันได้แค่ 1 ใน 3 ต่อมื้อเท่านั้น อย่างในมื้อนี้จะเท่ากับบล็อกได้แค่ 1 ใน 3 ของ 700 แคลอรี่ ซึ่งถ้าหากคำนวณดีๆ อาจไม่ได้ช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักเลย หรือช่วยได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อร่างกายดูดซึมไขมันน้อยลง วิตามินก็จะถูกดูดซึมน้อยลงด้วย เพราะปกติวิตามินบางชนิดจะละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน A E D และ K หากทานยาดักจับไขมันต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ระดับวิตามินในเลือดจะลดลงด้วย

สรุปผลข้างเคียงของยาดักจับไขมันคือ อุจจาระเล็ดออกมาได้ง่ายกว่าปกติเพียงแค่ไอหรือจาม มีปัญหาในเรื่องของกลิ่นอุจจาระที่แรงกว่าปกติ ระดับวิตามินในเลือดต่ำกว่าปกติ และอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย ระบบขับถ่ายผิดปกติไป เพราะมีแบคทีเรียอยู่และน้ำตาลหรืออะไรก็ตามที่ไม่ถูกย่อยเป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดอาการดังกล่าว

แต่โดยปกติแล้วร่างกายจะดูดซึมตัวยาน้อยกว่า 1% ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงนัก อย่างเช่นระดับวิตามินในเลือดที่ต่ำลง จากผลวิจัยก็พบว่าในร่างกายของคนที่ปกติหรือแข็งแรงดีก็ไม่ทำให้ตกอยู่ในภาวะขาดวิตามินแต่อย่างใด สรุปคือยาดักจับไขมันไม่จัดเป็นอันตราย แต่ในแง่ของผลลัพธ์ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพ และยังคงยืนยันว่าการลดน้ำหนักที่ดีคือการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร และปรับพฤติกรรมของตัวเองจะดีที่สุด

ที่มา : thaihealth.or.th


วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

โรคสะเก็ดเงิน ดีขึ้นด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ได้อย่างไร

การดูแลโรคสะเก็ดเงิน ด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด ไม่มีผลข้างเคียง เป็นการรักษาตัวเอง เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ยาที่มีสารเคมี หรือสิ่งแปลกปลอมใดๆ






ประสบการณ์ผู้ดูแลด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด

























"การสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล เป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพ"

ทีมนักวิจัย ใช้เวลาค้นคว้ากว่า 30 ปี
จนค้นพบสารสกัดจากพืชธรรมชาติ
ที่มีผลในการปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลสำเร็จ
"ครั้งแรกของโลก"














โรคสะเก็ดเงิน โรคที่คนไทยต้องเข้าใจอย่างถูกต้อง

โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังซึ่งกลุ่มคนส่วนใหญ่ มักจะไม่เข้าใจนัก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโรคผิวหนังที่พบเจอบ่อย ของคนไทย ทั้งนี้เนื่องจากด้วยรูปแบบเป็นโรคผิวหนังซึ่งคนทั่วไปสามารถที่จะมองเห็นได้เด่นชัด อีกทั้งส่วนมากมักเชื่อว่าเป็นโรคร้ายแรง เพราะไม่ได้รู้เรื่องอย่างแท้จริง ส่งผลให้ผู้ป่วยมักจะปรากฏความตึงเครียด ขณะที่ยิ่งเคร่งเครียดโรคก็ยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้น


หลายคนพยายามแสวงหาหนทางมากมาย เพื่อที่จะเยียวยารักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายสนิท ตัวอย่างเช่น หยิบเอาต้นว่านมหากาฬมาทดลองใช้เยียวยารักษาโรค แม้กระนั้น ยังปราศจากงานวิจัยทางการแพทย์ออกมาอย่างชัดเจน ดังนั้น ณ ในเวลานี้คงต้องบอกว่า โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังที่ยังไม่สามารถหายขาดได้ ส่วนวันข้างหน้าก็ต้องรอดูความเจริญก้าวหน้าทางด้านการแพทย์กันต่อไป



จะรู้ได้ยังไงว่าเป็น โรคสะเก็ดเงิน



โรคสะเก็ดเงิน หรือว่าเรื้อนกวาง ค้นพบ 1-3% ของประชากรไทย ถึงแม้ว่าโรคผิวหนังชนิดนี้จะไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่อาจจะเรียกได้ว่ารู้สึกเหมือนกับตายทั้งเป็น เพราะนอกจากผื่นผิวกายซึ่งค่อนข้างแน่ชัดแล้ว จะมีขุยสะเก็ดสีเงินสีขาวๆ หลุดร่วง ที่เป็นที่รบกวนการใช้ชีวิตอย่างมาก พร้อมทั้งอาการยังเป็นๆ หายๆปรากฏเช่นนี้ตลอด


ลักษณะโดยทั่วไปของ โรคสะเก็ดเงิน นั้น มักมีผื่นปื้นนูนสีแดงขึ้นมา มีขุยสะเก็ดสีเงินค่อนข้างหนา และมักจะหลุดออกมา เวลาเดิน หรือว่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว พวกสะเก็ดหรือขุยจะร่วงหล่นไปตามบนเก้าอี้นั่งและเตียงนอน ทั้งนี้ส่วนใหญ่จะมีสภาวะคันที่ผื่นผิวร่วมด้วย ขณะเดียวกันยังอาจลุกลามเป็นทั้งตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณในร่มผ้า จุดเสียดสี ตำแหน่งข้อพับข้อเข่า รวมถึงขุยบนหนังศีรษะ ขณะที่เล็บมือเล็บเท้ามักจะพบความผิดปรกติ เช่น มีรูปแบบบุ๋มเป็นหลุม เป็นสะเก็ด ร่อนและหลุดลอก แม้กระนั้นเมื่อทราบว่าตัวเองเริ่มมีลักษณะอาการเริ่มต้นควรจะรีบเดินทางไปพบคุณหมอโดยด่วนที่สุด


ต้นเหตุ โรคสะเก็ดเงิน นั้นปัจจุบันนี้ยังไม่ได้รู้ต้นกำเนิดชัดเจน ถึงกระนั้นทางการแพทย์เชื่อว่ามีต้นเหตุหลายประการสนับสนุนรวมเข้าด้วยกันจนอุบัติเป็นสะเก็ดเงินขึ้น ทั้ง พันธุกรรมของผู้ป่วย ภูมิต้านทานผิดปรกติ รวมทั้งปัจจัยจากด้านนอกร่วมด้วยช่วยกัน จึงก่อเกิดอาการเป็นผื่นปื้นดังที่ทราบ


ทั้งนี้กระบวนการมีที่มาจากเม็ดเลือดขาว (White blood cells)ซึ่งขยันจนเกินเหตุ เข้ามาสั่งการเพื่อให้เซลล์มีการผลิตเซลล์ผิวใหม่เร็วขึ้น จนผิวเก่าๆ ที่อยู่ด้านบน ยังไม่เปลี่ยนเป็นขี้ไคล เซลล์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ก็จะค้างอยู่บริเวณผิว กลับกลายต่อมเป็นปื้นหนาๆ อาจจะอธิบายได้ง่ายๆ ว่ามันทำให้ขบวนการสร้างผิวลดลงกว่าที่ควร เพราะทั่วๆ ไปผิวคนเรากินเวลาของการผลัดสร้างเซลล์ผิวใหม่และขจัดเซลล์ที่ตายแล้วไปสู่คราบไคลราวๆ 25 วัน หรือ 1 เดือน แต่ผู้ป่วย โรคสะเก็ดเงิน ดันเปลืองเวลาเร็วมากแค่ 2-4 วันแค่นั้น


โรคสะเก็ดเงิน ยังอาจจะสืบทอดไปยังรุ่นลูกได้ด้วย ทั้งนี้เพราะพบว่าถ้าหากพ่อหรือแม่เป็นสะเก็ดเงิน ก็อาจจะถ่ายทอดให้ลูกเป็นได้ราวๆ ร้อยละ 14 อย่างไรก็ตามถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นสะเก็ดเงินทั้งสองคน ความเป็นไปได้ที่ลูกจะเป็นโรคสะเก็ดเงินถึง 40% นั้นเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้เสี่ยงต่อโรคหรือว่ามีสิ่งมูลฐานของโรคอยู่ ก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะพัฒนากลายเป็นโรคสะเก็ดเงินได้ เพราะยังขึ้นกับตัวประกอบห้อมล้อมอื่นๆ ที่จะเร้าอาการอีก เช่น แอลกอฮอล์ ยาสูบ ความอ้วน และตัวชูโรงอย่าง ความตึงเครียด เหตุฉะนี้ คนที่เสี่ยงเป็นก็จะต้องปฏิบัติร่างกายให้แข็งแรง โดยอยู่ให้ไกลจากสิ่งปลุกเร้ากลุ่มนี้ให้มาก


โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่ยังไม่สามารถที่จะรักษาให้หายเป็นปลิดทิ้งได้ การใช้ยาทา กินยา ยาฉีด และแม้แต่การฉายแสงแดดเทียมเป็นแค่เพียงการสามารถช่วยควบคุมโรคให้สงบขนาดนั้น ข้อสำคัญคือคนป่วยควรเอาใจใส่สุขภาพตัวเราเองอย่างเคร่งครัด อีกทั้งระแวดระวังการทานยาบางประเภท จำต้องปรึกษาหารือคุณหมออย่างจริงจัง


ส่วนคนที่เป็น โรคสะเก็ดเงิน แล้ว จะต้องยอมรับความเป็นจริง ศึกษาเรียนรู้แนวทางอยู่ร่วมกับมัน เชื่อว่าชีวิตคุณจะสะดวกเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ซึ่งไม่เป็น ควรจะบำรุงดูแลสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง โดยเฉพาะ ผู้มีโอกาสเป็นโรค เช่นมีคนใกล้ชิดเป็นโรคนี้ จำต้องใส่ใจอย่างมากมาย ไม่รับประทานแอลกอฮอล์ ละเว้นดูดบุหรี่ ทำใจให้สบายไม่เคร่งเครียด ควบคุมน้ำหนักตัวเองอย่าให้อวบอ้วนเกินไป ส่วนคนในครอบครัว เพื่อนซี้ หรือคนรอบข้างควรจะทำความรู้จักและเข้าใจเรื่องโรคนี้อย่างถูกวิธี และไม่รังเกียจ ทั้งนี้เพราะสะเก็ดเงินไม่อาจแพร่เชื้อได้ ระลึกไว้สม่ำเสมอว่าคนป่วยไม่ได้ผิดอะไร


Tags : สะเก็ดเงิน, โรคสะเก็ดเงิน, ภูมิคุ้มกันสมดุล



วันพฤหัสบดีที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

โรคภูมิแพ้ Allergy


Allergy โรคแพ้ หรือ โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดขึ้นกับคนที่มีอาการไวต่อสิ่งต่างๆที่สามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้ (Allergen) โดยปกติสารเหล่านี้จะไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนทั่วไป ใครๆก็สามารถป่วยเป็นภูมิแพ้ได้ ช่วงอายุที่พบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่นคือ 5-15 ปี เพราะได้รับสิ่งกระตุ้นมานาน จนได้เวลาที่โรคแสดงออก โรคภูมิแพ้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากปู่ย่า ตายาย พ่อแม่มาสู่ลูกได้ ไม่ใช่โรคติดต่อ ตัวการหรือสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ (Allergens) อาจเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ได้แก่ ทางระบบหายใจ การสัมผัสทางผิวหนัง ทางหู ตา จมูก ทางการรับประทานอาหาร หรือโดยการกัดต่อยหรือฉีดผ่านผิวหนัง


ทางระบบหายใจ 

อาการเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เจ็บคอ คันคอ ไอ มีเสมหะ เสียงแหบแห้ง และลงไปยังหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบตัน หอบหืด ฯลฯ เกิดจากสิ่งกระตุ้นที่ผ่านเข้ามาทางลมหายใจ ตั้งแต่รูจมูกลงไปยังปอด

ทางผิวหนัง 
ถ้าสิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาทางผิวหนัง จะก่อให้เกิดผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย

ทางอาหาร
จะทำให้ อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด เสียไข่ขาวในเลือด อาจก่อให้เกิดอาการทางระบบอื่นๆเช่น หน้าตาบวม ลมพิษ

ทางตา
ทำให้คันตา แสบตา น้ำตาไหล หนังตาบวม

สารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ทั่วไป

  • ยาแก้อักเสบ  ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อยๆคือ ยาปฏิชีวนะ พวกเพนนิซิลิน เตตราไซคลิน ซัลฟา 
  • ยาลดไข้แก้ปวด แอสไพริน ไดไพโรน ยาระงับปวดข้อปวดกระดูก อาจก่อให้เกิดลมพิษ ผื่นคันบนผิวหน้า 
  • วัคซีนหรือเซรุ่มป้องกันโรค โดยเฉพาะวัคซีนสกัดจากเลือดม้า เช่น เซรุ่มต้านพิษงู พิษสุนัขบ้า ฯลฯ
  • แมลงต่างๆ เช่น แมลงสาบ มด ยุง แมงมุม ปลวก แตน ผึ้ง ต่อ ฯลฯ
  • เกสรดอกไม้ เกสรดอกหญ้า ดอกข้าว วัชพืช : กระแสลมมักมีสิ่งเหล้านี้ปลิวอยู่ด้วย สามารถพัดลอยไปได้ไกล ลักษณะอาจเป็นขุยๆ ติดตามหน้าต่าง มุ้งลวด เสื้อผ้า เครื่องเรือน ฯลฯ
วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้
ปัจจุบันสามารถพิสูจน์หาสาเหตุของโรคภูมิแพ้และรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยบางคนเริ่มจากอาการแพ้อากาศเรื้อรัง เยื่อจมูกอักเสบ เมื่อไม่ได้ใส่ใจรักษา อาจกลายเป็นโรคหอบหืดในเวลาต่อมา โรคผื่นคันผิวหนัง เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นลมพิษ โรคอ่อนเพลียต่างๆ เป็นต้น

ดังนั้นวิธีรักษาโรคภูมิแพ้ที่ดีที่สุด คือ การค้นหาสาเหตุของโรคให้พบ เช่นการสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบๆตัว เช่น รถยนต์ บ้าน สัตว์เลี้ยง โรงเรียน งานอดิเรก ตรวจร่างกายและทดสอบทางผิวหนัง เมื่อพบว่าแพ้สารชนิดใด ก็ให้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้นั้น และอาการของโรคก็จะทุเลา 

ในทางปฏิบัติการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในชีวิตประจำวันมักทำได้ยาก เพราะมีสารก่อภูมิแพ้กระจายอยู่รอบตัว เช่น เชื้อรา ไรฝุ่น ฝุ่นบ้าน ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ การรักษาอาการของโรคอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นและมักจะได้ผลดี แพทย์อาจให้รับประทานยาแก้แพ้ แก้ไอ แก้หอบ ร่วมด้วย เป็นต้น
ทำให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานโดยการฉีดวัคซีน

การรักษาโรคภูมิแพ้ มีอีกวิธีที่ได้ผลดีได้แก่การหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ให้พบแล้วนำสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจพบนำมาทำเป็นวัคซีนให้ผู้ป่วย เพื่อร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ (อิมมูโนบำบัด) คือ รักษาโดยการทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ หรือเรียกอีกอย่างว่าการรักษาเพื่อลดภูมิไว คือร่างกายลดความไวต่อสารที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้

อีกวิธีสุดท้ายในการรับมือกับโรคภูมิแพ้ คือ BIM100 จากผลงานวิจัย Operation BIM คณะ BIMXPERT เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลอยู่เสมอโดยใ้ช้สารสกัด GM-1 จากมังคุด
โทร สอบถามเกี่ยวกับ BIM100 ภูมิแพ้ กระเพาะ ปวดหัว ไมเกรน 

โทร.082-7079443, 086-8819577 สอบถาม inbox ที่:https://goo.gl/O6z97p
หรือ Line: @healthylandclub


Garcinia Capsule การ์ซีเนีย แคปซูล

ราคาพิเศษ: 1,890 บาท จำนวน 90 เม็ด
ขนาด: 2-4 เม็ด/วัน (ขึ้นอยู่กับอาการ)
วิธี: ครั่งละ 1-2 แคปซูล (1 ชม ก่อนนอนหรือก่อนอาหาร)
เสริมสุขภาพทั่วไป กระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน ภูมิแพ้ ไซนัส ริดสีดวงทวาร ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ ไต ไมเกรน ประจำเดือน แพ้อากาศ SLE
(อย.: 51-1-00739-1-0091)


การตรวจหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ (Allergy)

แพทย์จะทำการตรวจสอบประวัติและวิเคราะห์โรค โดยการสอบถามประวัติและอาการของโรค วิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบๆตัว เช่น รถยนต์ โรงเรียน บ้าน งานอดิเรก สัตว์เลี้ยง เพื่อเป็นแนวทางที่จะทราบว่าผู้ป่วยภูมิแพ้มีอาการ ณ สถานที่ใดบ้าง

ทดสอบทางผิวหนัง

Skin Test แพทย์ใช้วิธีทดสอบทางผิวหนัง นำเอาน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ทางอ้อมที่พบได้บ่อยๆ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา แมลงต่างๆ เกสรดอกไม้ ฯลฯ มาหยอดลงบนผิวหนังบริเวณท้องแขน ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ เมื่อหยอดน้ำสกัดบนท้องแขนแล้ว ใช้ปลายเข็มที่สะอาดกดลงบนผิวหนังเพื่อให้น้ำยาซึมเข้าสู่ผิวหนัง แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ตุ่มใดที่ผู้ป่วยแพ้ก็จะเป็นรอยนูนคล้ายรอยยุงกัด แพทย์จะทำการวัดรอยแดงและรอยนูนของแต่ละตุ่มที่ปรากฏ ซึ่งทำให้ทราบทันทีว่าแพ้สารใด 

หมายเหตุ ผู้ป่วยต้องหยุดรับประทานยาแก้แพ้จำพวกยาต้านฮิสตามีนก่อนการทดสอบอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะทำให้หาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ไม่พบเพราะฤทธิ์ของยาแก้แพ้ไปขัดขวางปิดบังไว้

ตัวการสารก่อภูมิแพ้ของโรคภูมิแพ้ (Allergy) ที่พบมาก ได้แก่ 
  • ตัวไรฝุ่นบ้าน ฝุ่นบ้าน มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มักปะปนอยู่ในฝุ่นเชื้อรา มีอยู่ตามสิ่งแวดล้อมที่มีอากาศอับชื้น มักปะปนอยู่ในบรรยากาศ 
  • อาหารบางประเภท  อาหารบางประเภทเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ได้เช่น อาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา และที่อาจก่อให้เกิดลมพิษ ผื่นคันได้ เช่น ปลาหมึก แมงดาทะเล บางคนอาจแพ้ไข่แมงดาทะเลอย่างรุนแรง ทำให้มีอาการหายใจไม่ออก บวมตามตัว อาหารประเภทหมักดอง เช่น น้ำปลา เต้าเจี้ยว ผักกาดดอง ฯลฯ 
  • เห็ด ซึ่งจัดว่าเป็นราขนาดใหญ่ 
  • ไข่ขาว ก่อให้เกิดผื่นคันบนใบหน้าได้ 
  • ผลไม้จำพวกที่มีรสเปรี้ยวจัด กลิ่นฉุนจัด เช่น ลำใย ทุเรียน สตรอเบอร์รี่ กล้วยหอม ฯลฯ

จริงหรือ? เวลาจาม หัวใจของเราจะหยุดทำงานชั่วขณะ




เชื่อว่าทุกคนคงเคยมีอาการจามกันใช่ไหมคะ? ซึ่งการจามนั้นสามารถเกิดกับเราได้ทุกฤดูค่ะ ไม่ว่าจะมีอาการป่วยหรือจามออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นเป็นเพราะกลไกในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายสูดเข้าไปออกมานั่นเอง


การจาม Sneeze หรือ Sternutation เป็นกลไกกึ่งอัตโนมัติอย่างหนึ่งของการขับลมออกจากปอด โดยผ่านทางจมูก และปากอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักเกิดจากการมีอนุภาคแปลกปลอมเข้าไปแล้วทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อเมือกของจมูก โดยเหตุผลที่เราต้องจามนั้นก็เพื่อขับเมือกนำเอาสิ่งแปลกปลอมหรือสารระคายเคืองออกมานั่นเองค่ะ


การจามมักเกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งกระตุ้นภายนอกที่เพียงพอ ผ่านขนจมูกมาถึงเยื่อเมือกของจมูก ซึ่งจะกระตุ้นให้ฮิสตามีน (Histamine) หลั่ง แล้วทำให้เกิดการระคายเซลล์ประสาทในจมูก จากนั้นก็ส่งสัญญาณประสาทไปยังสมองเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจาม ผ่านทางเครือข่ายประสาทไทรเจอมินัล (Trigeminal nerve network) จากนั้นสมองก็จะแปลสัญญาณแรกเริ่มให้หายใจเข้าลึก และเก็บลมไว้ แล้วทำให้กล้ามเนื้อที่หน้าอกแน่น จึงทำให้มีแรงดันอากาศในปอดเพิ่มขึ้น และตาของคุณจะปิด ลิ้นก็กดที่เพดานปาก จากนั้นก็ปล่อยลมหายใจออกมาทางจมูกทันที โดยการจามแต่ละทีนั้นก็จะอาศัยการทำงานของอวัยวะในส่วนบนของร่างกายหลายอวัยวะทั้งใบหน้า คอ และกล้ามเนื้ออก


แล้วคุณเชื่อหรือเปล่าว่าเวลาจามนั้นหัวใจของเราจะหยุดทำงานชั่วขณะ ?


หลายคนคงเคยได้ยินมาว่า เวลาจามหัวใจจะหยุดทำงานชั่วขณะ ซึ่งแท้จริงแล้วหัวใจไม่ได้หยุดทำงานเลย แต่อาจจะเป็นไปได้ที่หัวใจของคุณอาจจะ “เต้นแบบข้ามกระโดด” (skip a beat) ในระหว่างที่จามแล้วทำให้เกิดแรงดันเพิ่มขึ้นในช่องอกชั่วขณะ จึงทำให้การไหลเวียนเลือดที่จะไหลกลับเข้าสู่หัวใจนั้นลดลง แต่ในขณะเดียวกันหัวใจนั้นก็มีการชดเชยโดยการปรับจังหวะการเต้นของหัวใจให้กลับมาปกติเช่นเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของความดันในช่องอกที่เกิดขึ้นจากการจามมีผลต่อการไหลเวียนเลือด แต่วางใจได้ว่า การจามไม่ได้หยุดการทำงานหรือการเต้นของหัวใจของคุณ


ใครที่จามกันบ่อยๆ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาพยาบาลที่ถูกโรคต่อไป แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณป่วยแล้วจาม คุณควรจะปิดปากปิดจมูก ไม่จามใส่คนอื่นจนทำให้เขาป่วยไปด้วยเช่นกัน



ผู้เขียน: Fiws


อ้างอิง


www.loc.gov/rr/scitech/mysteries/sneeze.html

www.uamshealth.com/healthlibrary2/medicalmyths/heartmyth/

www.livescience.com/32306-does-your-heart-really-stop-when-you-sneeze.html?li_source=LI&li_medium=most-popular

www.scienceline.ucsb.edu/getkey.php?key=1852


วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ปวดเต้านม เกิดจากอะไรได้บ้าง


เวลามีประจำเดือน สาว ๆ หลายท่านมักรู้สึกปวดบริเวณเต้านม หรือแม้แต่ช่วงก่อนหรือหลังวันนั้นของเดือนก็ยังรู้สึกปวด ซึ่งบางคนก็คิดไปไกลว่าตนเองเป็นมะเร็งเต้านม เพราะเมื่อคลำแล้วรู้สึกเต้านมแข็งและเจ็บ แหม…สารพัดปัญหาขนาดนี้ เอาเป็นว่าเรามาเจาะลึกเรื่องอาการปวดเต้านมกันเลยดีกว่า

ปวดบริเวณเต้านม

เป็นอาการที่พบได้บ่อยจนอาจจะเป็นเรื่องปกติในผู้หญิงส่วนมาก จะต่างกันก็ตรงที่ความรุนแรงของอาการปวดเท่านั้น เชื่อว่า 2 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วไปมักจะเคยมีอาการปวดอย่างน้อยสักครั้งในชีวิต และก็มักจะสร้างความกังวลใจกับคุณผู้หญิงว่า มันจะเป็นอาการของโรคมะเร็งเต้านมหรือเปล่า แต่สำหรับในขั้นตอนทางการแพทย์แล้วนั้นเราสามารถตรวจเพื่อแยกว่าเป็นการเจ็บที่บริเวณกล้ามเนื้อ หรือผนังหน้าอก

ทั้งนี้อาการปวดบริเวณเต้านมสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

1.อาการปวดที่มีสาเหตุสัมพันธ์กับรอบเดือน โดยเฉพาะในช่วงหลังไข่ตก (ช่วงกลางรอบเดือน) โดยจะมีอาการปวดทั้ง 2 ข้าง เจ็บแบบตึง ๆ จากอาการเจ็บ ๆ เพียงเล็กน้อยถึงปวดคล้ายถูกของแหลมแทง

2.อาการปวดที่ไม่สัมพันธ์กับรอบเดือน ซึ่งอาการเจ็บเต้านมมักจะสามารถระบุตำแหน่งที่เจ็บได้ โดยมักจะเป็นบริเวณใต้หัวนม ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างก็ได้ อาการเจ็บมักจะรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ หรือตึง ๆ

เจ็บเต้านมกับรอบเดือน

อาการเจ็บในลักษณะนี้เกิดจากขณะที่มีการตกไข่ ฮฮร์โมนเพศหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงทำให้กรดไขมันตัวหนึ่งที่มีชื่อว่า กาโมลีนิก (Gamolenic Acid) ลดต่ำลง จึงทำให้คุณผู้หญิงรู้สึกปวดที่บริเวณเต้านม โดยจะเจ็บแบบตึง ๆ ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งหากคุณผู้หญิงท่านใดเกิดความกังวล หรือสงสัยว่าที่มันเป็นคืออาการของโรคมะเร็งเต้านมหรือไม่ ก็สามารถมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดในการตรวจของแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติอาการปวดดังกล่าวว่า คุณปวดตรงบริเวณใด ปวดสัมพันธ์กับรอบเดือนหรือไม่ และจะตรวจร่างกายดูว่ามีก้อนที่เต้านมหรือมีน้ำออกจากหัวนมหรือไม่

ถ้าตรวจพบว่ามีก้อนที่เต้านม แพทย์ก็จะส่งตรวจอัลตราซาวด์ดูว่า ก้อนนั้นเป็นถุงน้ำหรือก้อนเนื้อ

ถ้าตรวจพบว่ามีน้ำออกจากหัวนม ก็จะต้องดูสีน้ำที่ออกมาว่า เป็นเลือดหรือเป็นสีน้ำนมธรรมดา และแพทย์จะส่งตัวอย่างน้ำที่ออกมานั้นไปตรวจเพื่อหาเซลล์มะเร็งเต้านม และจะให้ผู้รับบริการตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์

ถ้าพบตรวจพบว่า มีแผลหรือตุ่มน้ำใสที่ผิวหนังของเต้านมอาจจะเป็นงูสวัดได้

ถ้าตรวจไม่พบความผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้ทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ ถ้าผลไม่มีความผิดปกติก็จะอธิบายเรื่องปวดที่เต้านมให้ผู้รับบริการเข้าใจต่อไป






ดูแลตนเองถ้าปวดเต้านมเมื่อมีรอบเดือน

สำหรับอาการปวดเต้านมที่ไม่พบความผิดปกติที่เต้านม ก็อาจจะยากที่จะระบุต้นเหตุที่แท้จริงของอาการปวด แต่สาเหตุก็มักรวม ๆ กันตั้งแต่การใช้งานแขนข้างนั้นมากเกินไป การออกกำลังกายที่ผิดจังหวะ การรับประทานยาฮอร์โมนบางชนิดหรือดื่มน้ำชา กาแฟ ช็อกโกแลต มากเกินไป

โดยหลังจากแพทย์ตรวจและไม่พบความผิดปกติใด ๆ คุณก็หมดกังวลไปได้เลยว่าจะเป็นโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ลองเปลี่ยนยกทรง หรือเลือกชนิดและขนาดที่เหมาะสมกับสรีระ การปรับวิธีการรับประทานอาหาร เช่น ลดปริมาณไขมันจากเนื้อสัตว์ (นม, เนย, ชีส, ไอศกรีม) และควรเพิ่มอาหารจำพวกผักและผลไม้สดแทน ถ้าหากอาการยังไม่หาย อาจจะต้องรับประทานยา เช่น Evening primrose oil โดยรับประทานยาทุกวันตอนเย็นอย่างน้อย 3 เดือน

ปวดเต้านมที่ไม่เกี่ยวกับรอบเดือน

สำหรับอาการปวดในลักษณะนี้มักจะเกิดจากกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ หรืออาจจะเกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบ หรือมีถุงน้ำที่เต้านม โดยหากมีถุงน้ำที่เต้านม แพทย์จะดูว่าถุงน้ำมีขนาดใหญ่หรือไม่ ถ้ามีขนาดใหญ่พอที่มือสามารถคลำได้แพทย์ก็จะเจาะเอาน้ำออกไป ส่วนถ้าคลำไม่ได้ก็จะให้รับประทานยาแก้ปวดแทน

อาการปวดกับมะเร็ง

ผู้หญิงหลายท่านอาจจะเกิดความกังวลใจว่า อาการปวดดังกล่าวจะเกิดมะเร็งหรือไม่ ในความเป็นจริงแล้ว มะเร็งที่จะทำให้เกิดอาการปวด คือ ต้องมีก้อนขนาดใหญ่ และลุกลามไปที่ผิวหนังข้างนอก หรือที่ผนังหน้าอกข้างใน เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับคุณหมอ หากเจอผู้ป่วยมาด้วยอาการปวดเต้านมแพทย์จะนึกถึงมะเร็งน้อยลง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 35 ปี แต่ถ้าอายุมากกว่า 35 ปี หากมีอาการปวดเต้านมข้างเดียว และสามารถคลำได้จนเจอก้อนก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นถุงน้ำ หรือที่เรียกว่า ซีสต์ มากกว่า

อาการของเต้านมที่ควรพบแพทย์

1. มีก้อนไตแข็ง หรือเนื้อเต้านมหนาตัวขึ้นผิดปกติ
2. มีอาการบวม แดง ร้อน ของบริเวณเต้านมที่ไม่หายได้เอง
3. เต้านมมีขนาด หรือรูปร่างเปลี่ยนไป
4. มีรอยบุ๋มของผิวเต้านม หรือหัวนมที่เกิดขึ้นใหม่
5. มีแผล ผื่น อาการคันบริเวณเต้านม
6. มีน้ำ หรือเลือดไหลจากหัวนม


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info